เมื่อ 13.00 น. วันที่ 6 ต.ค. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกับ พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รอง ผบช.สอท.) และนายณภัทร ชุ่มจิตตรี หรือ "คิง ก่อนบ่าย"พร้อมด้วยน.ส.สายลม ชื่นดอนกลอย แม่เลี้ยงและเป็นผู้เสียหาย แถลงการหารือแนวทางป้องปราบมิจฉาชีพออนไลน์ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการสืบสวนรวบรวมหลักฐาน และความเข้มข้นในการดำเนินคดีกับมิจฉาชีพและผู้กระทำผิด ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมาเป็นช่องทางหลอกลวง ฉ้อโกง ซ้ำเติมความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยเฉพาะในท่ามกลางความยากลำบากจากสถานการณ์โควิด-19
โดยน.ส.สายลม เปิดเผยว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 การทำงานก็ยาก แล้วหนี้ที่มีอยู่ก็ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกวัน เป็นจังหวะเดียวกับมีเอสเอ็มเอสปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเข้ามา จึงสนใจและตั้งใจจะนำเงินมาปิดหนี้ก้อนที่มีอยู่ เพื่อเสียดอกเบี้ยที่ต่ำลง จึงทำเรื่องกู้เงินจากระบบดังกล่าวจำนวน30,000บาท ในตอนแรกที่ดำเนินการคือกดเข้าไปตามลิงค์ที่แนบมาในเอสเอ็มเอส และทำตามขั้นตอนไปเรื่อย หลังจากนั้นมามีเอสเอ็มเอสแจงกลับในทำนองที่ว่าตนให้เลขบัญชีผิด ต้องเสียค่าแก้ไข 3,000บาท จากนั้นก็จะมีปัญหาต่างๆอีกหลายอยากให้โอนเงินโดยอ้างเป็นค่าดำเนินการ และยืนยันว่าเงินที่โอนไปไม่ได้หายไปไหน จะมีการโอนคืนพร้อมกับเงินกู้ที่ทำเรื่องอยู่ จนสูญเงินไป13,792บาท ส่วนผู้เสียหายอีกคนมีการหลอกในลักษณะเดียวกันสูญเงินจำนวน60,000บาท ซึ่งต้องบอกว่าเครียดมาก เพราะเงินที่นำมาดำเนินการก็เป็นเงินที่ไปยืมคนอื่นมา กลายเป็นต้องเป็นหนี้เพิ่ม ทั้งนี้ในวันนี้ที่มาไม่ได้ต้องการเงินคืน แต่ต้องการให้เจ้าหน้าที่จัดการกับขบวนการนี้ รวมไปถึงจัดการและทางที่ดีควรจะไม่ต้องมี เอสเอ็มเอสในลักษณะนี้ส่งมาให้กับผู้ใช้บริการ
ด้าน "คิง ก่อนบ่าย"เปิดเผยว่า
เคยดูข่าวมากมาย ไม่คิดว่าจะเจอกับคนใกล้ตัว อยากจะเตือนพี่น้องประชาชน
ที่คิดหรือสนใจที่จะกู้เงินผ่านช่องทางเหล่านนี้ต้องตรวจสอบ หรือถ้าใครถูกหลอกไม่ต้องกลัวที่จะเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการกำจัดขบวนการเหล่านี้ให้หมด.จะได้ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก
โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา พบปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ที่ประชาชนร้องเรียน ร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การหลอกลวงทางออนไลน์ เช่น สั่งซื้อสินค้าแล้วไม่ได้ของ หรือไม่ได้คุณภาพตามที่โฆษณา หลอกลงทุนออนไลน์ แชร์ออนไลน์ กู้เงิน แฮกบัญชี ปลอมแปลงบัญชี หลอกโอนเงิน SMS หลอกกู้เงิน มีผู้เสียหายนับหลายพันคดี มูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท
ทั้งนี้ รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้มีการบูรณาการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ และเอกชน ซึ่งวันนี้ได้มีการประชุมหารือกับแพลต์ฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก กูเกิล ไลน์ ช้อปปี้ Tiktok เจดีเซ็นทรัล และลาซาด้า เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่เกิดขึ้น ในการวางแนวทางการการป้องกัน ปราบปราม และให้ความรู้แก่ประชาชน
“เรามีแนวทางชัดเจนว่าในจะดำเนินการให้มีความเข้มข้นมากขึ้น กระทรวงฯ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านสายด่วน 1212 เว็บไซต์ https://www.1212occ.com หรือ email: 1212@mdes.go.th ดำเนินการการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบหรือความเสียหายจากภัยออนไลน์ รวมทั้งจะมีการส่งเสริมให้ความรู้กับประชาชนเพิ่มขึ้นด้วย” นายชัยวุฒิกล่าว
ด้านพล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รอง ผบช.สอท.) กล่าวว่า ล่าสุด บช.สอท. ยังได้ร่วมกับสำนักงาน กสทช. และค่ายมือถือต่างๆ วางแนวทางจัดการปัญหา SMS และโทรศัพท์หลอกลวงประชาชน โดยผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกราย จะทำการบล็อก SMS ที่มีเนื้อหาชัดเจนว่าเป็นการหลอกลวง เว็บพนันออนไลน์ หรือลามกอนาจารทันที และเร่งตรวจสอบ กำกับดูแลกันเองอย่างเคร่งครัด และให้ทุกค่ายเริ่มทำการ Backlist ผู้ส่งที่ส่งข้อความหลอกลวง หลังจากที่ได้การแชร์ข้อมูล SMS หลอกลวงระหว่างกันแล้วพบว่ามาจากผู้ส่งรายเดียวกัน
สำหรับกรณีการโทรหลอกลวงประชาชนโดยตรง ผู้ให้บริการมือถือทุกราย สามารถตรวจสอบการกระทำความผิดได้ชัดเจนเนื่องจากเบอร์โทรศัพท์มือถือที่มิจฉาชีพใช้สามารถตรวจสอบจากการลงทะเบียนได้ว่าใครเป็นเจ้าของเบอร์นั้น ถือเป็นหลักฐานที่ระบุต้นทางที่มา ประกอบกับข้อมูลที่ประชาชนให้ข้อมูลการหลอกลวง ส่งคลิป หรือแจ้งเบอร์โทรศัพท์เข้ามาเพื่อเป็นข้อมูล บช.สอท.จะตรวจสอบกับค่ายมือถือ และ สำนักงาน กสทช. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายในการดำเนินคดีเอาผิดกับมิจฉาชีพ สำหรับข้อกำหนดลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมาย กรณีฉ้อโกงต่อประชาชนจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษสูงขึ้นจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ยังเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 11 ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท
และหากการกระทำใดเข้าข่ายหลอกลวง
ก็มีความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง
นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และอาจมีความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ตั้งแต่มีการก่อตั้ง
บช.สอท.ขึ้นมา มีการดำเนินการคดีประเภทที่หลอกลวงทางออนไลน์ไปแล้วกว่า 3,000คดี
มีมูลค่าความเสียหายกว่า 1,000ล้านบาท
ขอขอบคุณ
ภาพ/ข่าว กมล แย้มอุทัย ผู้สื่อข่าวพิเศษ
///////////////////////
0 ความคิดเห็น